วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ผมยาวทันใจ

7วิธี เร่งผมยาว ให้ทันใจ
เคล็ดลับให้ผมยาวเร็วทันใจ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเร่งผมยาว ให้ได้ดั่งใจ นี่คือวิธีการเพิ่มการเจริญเติบโตให้ เส้นผม ของคุณได้อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว
  1.ออกกำลังกายให้เส้นผม
          เร่งสปีดความเร็วให้ เร่งผมยาว เร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย
2.เพิ่มโปรตีน
          Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้
3.กินปลา
          Richard Ward กล่าวไว้ว่า ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย
4.เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม
          Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ
5.แปรงให้ถูก
          หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน
6.ตัดผมบ้าง
          อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย
7.ต่อผมก็ได้
          สำหรับสาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม

ที่มาข้อมูล : MSN ไลฟ์สไตล์ สนับสนุนข้อมูลโดย นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย
                         http://blog.eduzones.com/entertain/12664

10วิธีคลายเครียด


การมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับการทำงานเป็นสิ่งดี แต่ถ้าทำให้ถึงกับเครียดจนเกินไปก็ไม่ใช่สิ่งสมควร เพราะเมื่อเกิดความเครียดขึ้นแล้ว นอกจากจะทำให้ไม่ได้งานดีอย่างที่ตั้งใจไว้ยังส่งผลเสียด้านอื่น ๆ ด้วย เช่นทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ทำให้เสียความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ทั้งผู้ร่วมงานและคนในครอบครัว ทำให้ชีวิตไม่มีความสุขดังนั้น การรู้จักผ่อนคลายความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยคลายเครียดและเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นเกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ทำให้มีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วยกรมสุขภาพจิตจึงขอนำเสนอวิธีปฏิบัติเพื่อช่วยคลายเครียดในการทำงาน 10 วิธี ดังต่อไปนี้ คือ
1.ออกกำลังกาย
 
-เมื่อรู้สึกเครียดจากการทำงาน การออกกำลังกายจนได้เหงื่อจะช่วยคลายเครียดได้
-หลังเลิกงานหรือในวันหยุดควรออกกำลังกายหรือกีฬาบ้าง และถ้าได้เล่นกับกลุ่มเพื่อนจะยิ่งสุกสนานมากขึ้น
-การช่วยกันทำงานบ้านในวันหยุด ก็ถือเป็นการออกกำลังกานที่ดีและยังช่วยให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกรับใคร่สามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย
2.การพักผ่อนหย่อนใจ
-หลังเลิกงานแล้ว ควรจะได้พักผ่อนหย่อนใจบ้างเพื่อผ่อนคลายจิตใจ ทำให้พร้อมที่จะกลับไปทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้งหนึ่ง
-กิจกรรมการพักผ่อนหย่อนใจมีอยู่มากมาย ควรเลือกที่ตรงข้ามกับงานประจำ เช่นงานประจำต้องนั่งโต๊ะทั้งวัน ยามว่างควรทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือถ้างานประจำต้องให้บริการผู้อื่น ยามว่างควรไปให้ผู้อื่นบริการบ้าง เพื่อให้ชีวิตสมดุลและผ่อนคลาย
3.การพูดอย่างสร้างสรรค์
-การพูดอย่างสร้างสรรค์จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน
-ควรหมั่นพูดคำว่า สวัสดี ไม่เป็นไร ขอโทษ และขอบคุณให้ติดปาก เพราะจะแสดงถึงความมีมารยาท มีน้ำใจให้อภัย และรู้คุณค่าการกระทำของผู้อื่นเป็นเสน่ห์แก่ผู้พูด และผู้ฟังก็สบายใจด้วย
-ควรหมั่นพูดชมเชย ให้กำลังใจ ไต่ถามทุกข์สุข ปลุกปลอบใจ และประสานความเข้าใจกัน บางเรื่องไม่ควรพูดก็อย่าพูด จะช่วยตัดปัญหาและลดความเครียดลงได้มาก
4. การแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสม
การเก็บกดอารมณ์ที่ไม่ดี หรือแสดงอารมณ์ที่ไม่ดี จะทำให้เกิดความเครียด
ควรฝึกควบคุมอารมณ์ คิดก่อนทำ และทำอย่างเหมาะสม จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ และไม่ทำให้เกิดปัญหาตามมา
เมื่ออารมณ์ดี ควรยิ้มแย้มทักทาย พูดเล่น ฮัมเพลง จะทำให้ผู้ใกล้ชิดพลอยรู้สึกดีตามไปด้วย
เมื่ออารมณ์ไม่ดี อย่าเพิ่งพูด หรือทำอะไรลงไป เพราะอาจเสียใจภายหลัง ให้หลบออกจากสถานการณ์สักพัก หรือหายใจเข้าออกช้า ๆ สัก 4 - 5 ครั้ง หรือนับ 1 - 10 ในใจก็ได้ พยายามคิดถึงผลเสียที่จะเกิดตามมา จะทำให้มีสติ และแสดงออกได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อื่นดีขึ้นและเครียดน้อยลง
5. การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน
-การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงาน จะช่วยให้รู้สึกมีความสุขในการทำงานและช่วยให้ทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพเพราะมีผู้คอยให้กำลังใจ
-การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ร่วมงานสามารถทำได้โดยการรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เสมอ อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไรก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้นกับผู้อื่นเช่นกัน
6. การบริหารเวลา
-การบริหารเวลาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีเวลาเหลือเพียงพอสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว และมีเวลาให้ครอบครัวอย่างเพียงพอ ทำให้เครียดน้อยลง
-ควรทบทวนดูว่า ในแต่ละวันได้ใช้เวลาไปกับเรื่องใดบ้าง เสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากน้อยแค่ไหน
-จากนั้น จัดแบ่งเวลาเสียใหม่ รีบทำงานสำคัญและเร่งด่วนให้เสร็จก่อน แล้วจึงทำงานอื่นภายหลัง ลดการคุยเล่น เดินไปเดินมา กินขนม ฯลฯ ให้น้อยลง ก็จะประหยัดเวลาและได้งานมากขึ้น
-ลองสังเกตเพื่อนร่วมงานที่บริหารเวลาได้ดี แล้วลองทำดูบ้าง อาจช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี
-ในการทำงานย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าแก้ปัญหาอย่างใช้อารมณ์ ไม่มีเหตุผลจะทำให้เครียดมาก เพราะบางทีปัญหาเก่าก็ยังแก้ไม่ได้ แต่กลับสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก
-ควรเริ่มต้นแก้ปัญหาที่สาเหตุ หาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ แล้วแก้ตรงนั้น ถ้าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาก็ต้องแก้ที่ตัวเราด้วย
-ถ้าคิดแก้ปัญหาเองไม่ได้ ก็ไม่ควรอาย หรือกลัวว่าจะเสียหน้าที่จะปรึกษาหารือและขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
-เมื่อรู้วิธีแก้ไขปัญหาแล้วก็ควรลงมือทำทันที บางปัญหาอาจแก้ยา ก็ให้อดทน อย่าท้อแท้ เพราะเมื่อแก้ปัญหาได้สำเร็จก็จะภูมิใจและหายเครียดไปเอง
8. การปรับเปลี่ยนความคิด
-ความเครียดส่วนหนึ่งจะมาจากความคิดของคนเรานั่นเอง
-ถ้ารู้สึกว่าตัวเองคิดมาก คิดสับสนวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ควรหยุดคิดสักพัก เปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่นก่อน เมื่อรู้สึกดีขึ้น ค่อยกลับมาคิดใหม่
-ลองปรับเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เช่น คิดอย่างใช้เหตุผล คิดหลาย ๆ แง่มุม ลองคิดอย่างที่คนอื่นเขาคิด คิดเรื่องดี ๆ และคิดถึงคนอื่นบ้างอย่าเอาแต่หมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป
-การคิดแบบใหม่ ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นและหายเครียดได้
9. การสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ
-"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" จิตใจที่เข้มแข็งจะช่วยให้เอาชนะความเครียดได้
-การสร้างความเข้มแข็งของจิตใจ ทำได้โดยการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่า "เราต้องทำได้"
-ต้องเข้าใจชีวิตให้ถ่องแท้ว่าไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรยั่งยืน จะได้ไม่ยึดติดกับลาภ ยศ สรรเสริญ และต้องใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด ไม่ติดอยู่กับอดีตหรือวิตกกังวลกับอนาคตให้มากเกินไป
-อย่าลืมที่จะสร้างความอบอุ่นในครอบครัว จะเป็นกำลังใจช่วยให้เราต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคได้อย่างดีที่สุด
10. การรู้จักยืนยันสิทธิของตน
-ความเครียดอาจเกิดได้จากการยอมอ่อนข้อหรือเกรงใจผู้อื่นมากเกินไป จนทำให้ตัวเองเดือดร้อน
-หากรู้จักยืนยันสิทธิของตนเสียบ้าง จะช่วยเป็นที่เกรงใจของผู้อื่นมากขึ้น และเครียดน้อยลง
-สิทธิที่ควรยืนยัน ได้แก่ สิทธิที่จะทำงานเร่งด่วนของตนเองให้เสร็จก่อน สิทธิที่จะไต่ถามเพราะไม่รู้หรือไม่เข้าใจ สิทธิที่จะเลือกทำสิ่งที่ตนเองพอใจโดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิทธิที่จะเปลี่ยนใจเมื่อได้ข้อมูลใหม่ และสิทธิที่จะชี้แจงเมื่อถูกเข้าใจผิด


วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศป่าชายเลน


1.ระบบนิเวศป่าชายเลน โครงสร้างระบบนิเวศป่าชายเลนมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้1.โครงสร้างระบบนิเวศป่าชายเลน โครงสร้างระบบนิเวศป่าชายเลนมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
     1.1 ผู้ผลิต (producer) คือ พวกที่สร้างอินทรีย์สาร
โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้แก่ แพลงตอนพืช สาหร่าย และพันธุ์ไม้ชนิดต่างๆในป่าชายเลน
1.2 ผู้บริโภค (consumers) สามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆดังนี้
         1) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินอินทรีย์สาร ได้แก่  สัตว์หน้าดินขนาดเล็ก และพวกหอยฝาเดียว รวมไป ถึงพวกปลาบางชนิด
         2) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินพืชโดยตรง  พวกนี้จะกินทั้งพืชโดยตรง เช่นแพลงตอน  สัตว์ปู ไส้เดือนทะเล  และปลาบางชนิด เป็นต้น
         3) กลุ่มผู้บริโภคหรือกินสัตว์ ซึ่งรวมถึงพวกกินสัตว์ระดับแรก
หรือระดับต่ำได้แก่ พวกกุ้ง ปู ปลา ขนาดเล็ก และพวกนกกินปลาบางชนิด ส่วนพวกกินสัตว์ระดับสูงสุดหรือยอด ได้แก่ ปลาขนาดใหญ่
นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และที่สำคัญที่สุดคือมนุษย์นั่นเอง
         4) กลุ่มบริโภคกินทั้งพืชและสัตว์ ได้แก่ปลาบางชนิด แต่ส่วนใหญ่สัตว์กลุ่มนี้มักจะกินพืชมากกว่ากินสัตว์

1.3 ผู้ย่อยสลาย (decomposers) ได้แก่ แบคทีเรีย รา และพวกคัสเตเชีย
2.ความสัมพันธ์ในแง่อาหารและการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศป่าชายเลนในป่าชายเลน

                 โซ่อาหารแบ่งออกได้เป็น2 แบบใหญ่ๆคือแบบแรกเป็นลูกโซ่อาหารที่เริ่มจากพืชสีเขียวไปสู่สัตว์ชนิดอื่นในระดับอาหารต่างๆที่สูงกว่า ซึ่งเรียกว่า grazing food chainและแบบที่สองเป็นลูกโซ่อาหารที่เริ่มจากอินทรีย์สารไปสู่สัตว์ชนิดอื่นๆในระดับอาหาารที่สูงกว่า เรียกว่า detrital food chain ความสัมพันธ์ในแง่อาหารหรือการหมุนเวียนของธาตุอาหารและการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม พอจะอธิบายเข้าใจได้ง่ายๆคือเริ่มแรกเมื่อพันธุ์พืชชนิดต่างๆที่อยู่ในป่าชายเลนได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง ทำให้เกิดอินทรีย์วัตถุและการเจริญเติบโตขึ้นโดยเรียกพวกนี้ว่า ผู้ผลิต ส่วนของต้นไม้โดยเฉพาะใบไม้ กิ่งไม้ และเศษไม้ นอกเหนือจากส่วนที่เป็นลำต้น ซึ่งมนุษย์นำไปใช้ประโยชน์จะร่วงหล่นทับถมในน้ำและดิน และในที่สุดก็กลายเป็นแร่ธาตุอาหาของพวกจุลชีวัน หรือเรียกว่า ผู้บริโภค พวกผู้บริโภคจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและก็จะกลายเป็นอาหารของพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆตามลำดับ หรือบางส่วนก็ตายและผุ
สลายตัวเป็นธาตุอาหรสะสมอยู่ในป่านั่นเอง และในขั้นสุดท้ายพวกกุ้ง ปู และปลาขนาดใหญ่ก็จะเป็นอาหารโปรตีนของพวกสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า และของพวกมนุษย์ ซึ่งถือเป็นอันดับสุดท้ายของลูกโซ่อาหาร หรือเป็นอันดับสูงสุดของการถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศนั่นเอง
3.ความสมดุลในระบบนิเวศสรรพสิ่งที่มีชีวิตต่างๆที่ธรรมชาติสร้างขึ้น

        ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดให้ทุกอย่างสมดุลกัน ระบบนิเวศในป่าชายเลนก็เช่นเดียวกัน หากปราศจากการรบกวนของมนุษย์และภัยธรรมชาติ ที่มาคุกคามแล้ว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ก็สามารถปรับให้เกิดความสมดุลของระบบได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันสภาพป่าชายเลนทั่วโลกได้ถูกรบกวนจากมนุษย์ทำให้สภาพป่าได้สูญเสียความสมดุล และเสื่อมโทรมลงไป การบุกรุกทำลายป่าเป็นประเด็นหลักในการรบกวนและทำลายระบบนิเวศอย่างรุนแรง นอกจากนี้การทำการเกษตร การทำเหมืองแร่ การขยายตัวของชุมชนการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมนับเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมในระบบนิเวศทั้งสิ้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะต้องมีการวางนโยบายที่ถูกต้องในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติป่าชายเลน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ให้มีอยู่อย่างสมบูรณ์ตลอดไป
ความสัมพันธ์ระหว่างป่าชายเลนกับสัตว์น้ำ การที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาตินั้นเนื่องมาจากป่าชายเลนเป็นแหล่งผลิตธาตุอาหาร โดยซากพืชที่ร่วงหล่นของประเทศไทยโดยเฉลี่ย 1 กิโลกรัมต่อตารางเมตรต่อปี จะย่อยสลายกลายเป็นธาตุอาหาร ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมและโซเดียม รวมกันสูงถึง 118 กก./ไร่/ปี สำหรับไม้แสม 46 กก./ไร่/ปี สำหรับไม้โกงกาง ก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งจะเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ ซึ่งเราเรียกว่าห่วงโซ่อาหารอันเกิดจากพืชสีเขียวนี้ว่า Grazing food chains ห่วงโซ่อาหารอีกรูปแบบหนึ่งคือ ห่วงโซ่อาหารที่เริ่มต้นจากอินทรียสารไปสู่สัตว์อื่นๆ (Detrital food chains) คือ ห่วงโซ่อาหารชนิดนี้เกิดจากแพลงก์ตอนสัตว์ สัตว์น้ำขนาดใหญ่ก็จะกินสัตว์น้ำขนาดเล็กเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน
ความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืชในป่าชายเลน
     ป่าชายเลนประกอบด้วยพืชทั้งที่เป็นไม้ยืนต้น ไม้อิงอาศัย (Epiphytes) เถาวัลย์และสาหร่าย ไม้ยืนต้นในป่าชายเลนจะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจะพืชยืนต้นทั่วไปคือ สามารถเจริญเติบโตได้ในดินเลนและพื้นที่ที่มีน้ำทะเลท่วมถึงเป็นประจำหรือชั่วคราว ดังนั้นจึงมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงลักษณะทั้งภายนอกและภายใน ระบบรากลำต้น ใบ ดอก และผล ให้เหมาะสมในการมีชีวิต เช่น มีต่อมขับเกลือ ใบมีลักษณะอวบน้ำ ระบบรากที่แผ่กว้างและโผล่พ้นผิวน้ำ มีผลที่สามารถงอกขณะยังอยู่บนต้น และต้นอ่อนหรือผลแก่สามารถลอยน้ำได้ เป็นต้น
พันธุ์ไม้ยืนต้นและไม้พุ่มเท่าที่พบในปัจจุบันในป่าชายเลนของประเทศไทยมีถึง 74 ชนิด อยู่ใน 53 สกุล รวมอยู่ใน 35 วงศ์ พันธุ์ไม้เด่นคือ โกงกางใหญ่ โกงกางใบเล็กแสมดำ แสมขาว แสมทะเล ฝาดแดง ฝาดขาว พังกาหัวสุม โปรงขาว โปรงแดง ลำพู ลำแพน ตาตุ่มทะเล โพธิ์สัตว์ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ไม้พื้นล่างที่พบทั่วไปคือ เหงือกปลาหมอจากชะคราม เป้งทะเล เป็นต้น
                ความหลากหลายของสัตว์ป่าในป่าชายเลน สัตว์ที่เป็นองค์ประกอบชองป่าชายเลน ได้แก่ ปลา ที่สำคัญได้แก่ ปลากระบอก ปลากระพง ปลานวลจันทร์ ปลากะรัง และปลาตีน กุ้งมีประมาณไม่น้อยกว่า 15 ชนิด สำหรับกุ้งที่พบเห็นทั่วไปในป่าชายเลน ได้แก่ กุ้งแช่บ๊วย กุ้งกุลาดำกุ้งกะเปาะหรือกุ้งกะต่อม ปูที่พบในป่าชายเลนมีทั้งหมด 7 สกุล 54 ชนิด ที่พบมากได้แก่ ปูแสม ปูก้ามดาบ ปูทะเลหรือปูดำ หอยที่พบในป่าชายเลนมีหอยกาบเดียวไม่น้อยกว่า 17 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ หอยดำ หอยขี้นก หอยขี้กา และหอยกาบคู่ไม่น้อยกว่า 3 ชนิด ได้แก่ หอยนางรมและหอยเยาะ เป็นต้น นกที่พบในป่าชายเลนมีทั้งนกอพยพและนกประจำถิ่นมากกว่า 100 ชนิด เช่น นกยางควาย นกยางรอก นกเหยี่ยวไดท์ นกหัวโตและเหยี่ยว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีไม่น้อยกว่า 39 ชนิด ที่พบทั่วไปได้แก่ ค้างคาว ลิงกัง นาก แมวป่า สัตว์เลื้อยคลานมีอย่างน้อย 25 ชนิด ซึ่งรวมทั้งงูต่างๆ กิ้งก่า เต่า และจระเข้ นอกจากนี้ยังพบแมลงเป็นจำนวนมากกว่า 38 ชนิด เช่น พวกผีเสื้อกลางคืน หนอนผีเสื้อ หนอนกอ แมลงปีกแข็ง ยุง ลิ้น และเพลี้ย
  ในบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยยังพบว่าในแนวเขตเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ป่าบกกับป่าชายเลน เป็นบริเวณที่ความหลากหลายทางชีวภาพสูทั้งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์


ที่มา: http://schoolnet.nectec.or.th/library/webcontest2003/100team/dlss020/A4/A4-4.htm

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

สวยๆๆๆ

ผิวสวยด้วยกล้วย




ที่มา ;
http://women.kapook.com/view19873.html
           หากพูดถึงทรีทเม้นท์ผิวสวย ผู้หญิงหลาย ๆ คนอาจจะคิดถึงทรีทเม้นท์ราคาแพง หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากมาย แต่เชื่อไหมคะว่า จริง ๆ แล้ว ผิวสวยนั้นไม่ได้มาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ราคาแพงเลยซักนิด หากเรารู้จักแหล่งวิตามินและอาหารผิวที่มีอยู่ในธรรมชาติ แล้วนำมันมาใช้ในการบำรุงผิวในแต่ละวัน

           วันนี้กระปุกดอทคอม ขอหยิบยกเอาเรื่องราวของผลไม้ไทย ๆ ที่มากคุณค่าสำหรับผิวพรรณแต่มักจะถูกมองข้ามอย่าง กล้วย มาฝากกัน ให้สาว ๆ ได้นำมาบำรุงผิวหลาย ๆ รูปแบบดังนี้ค่ะ

   1. สูตรกล้วยเพื่อผิวเนียนนุ่ม นำกล้วยหอมที่เตรียมมาผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั่นให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จนเป็นเนื้อครีมละเอียด จากนั้น ให้คุณล้างหน้าให้สะอาดตามปกติ แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกให้ทั่วใบ หน้า (ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา และริมฝีปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าเป็นไปได้ คุณควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็น เพราะจะช่วยทำให้ผิวหน้าคุณชุ่มชื่นขึ้น

   2. สูตรกล้วยเผยผิวสว่างใส นำกล้วย 1 ลูก มาบดผสมกับนมสดครึ่งถ้วยตวง จากนั้นนำส่วนผสมที่เตรียมไว้มาพอกผิวทั้งใบหน้าและลำตัวประมาณ 20 นาที คุณค่าจากน้ำนมจะช่วยให้ผิวสว่างใสขึ้น และโปรตีนจากกล้วยจะทำให้ผิวเนียนนุ่มไปพร้อม ๆ กัน

   3. สูตรกล้วยลดผิวแห้งกร้าน นำกล้วยบดไปพอกบริเวณที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก หัวเข่า หรือมือ กล้วยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดความหยาบกร้านลงได้ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งนะคะ ถึงจะเห็นผลได้ทันตา

   4. สูตรกล้วยลดผิวมัน นำกล้วยมาผสมกับน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง จากนั้นนำไปพอกหน้าประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยเผยผิวสวย และลดความมันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อ๊ะ ๆ แต่สูตรนี้ไม่เหมาะกับสาวหน้าแห้งนะคะ เพราะยิ่งจะทำให้หน้าแห้งขึ้นไปอีกได้เลยล่ะค่ะ

   5. สูตรกล้วยเพื่อผิวเนียนกระชับ นำกล้วยมาผสมกับน้ำมันมะพร้าวแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้หน้าเนียนใส นุ่มเหมือนกับเด็กแรกรุ่นเลยล่ะ

   6. สูตรกล้วยเพื่อผิวหน้านุ่ม บดกล้วยผสมกับไข่แดงและน้ำนม จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าแล้วทิ้งไว้ 30 นาที สูตรนี้ควรทำก่อนอาบน้ำครึ่งชั่วโมง เพื่อที่จะได้ล้างกล้วยและไข่แดงออกไปพร้อม ๆ กับการอาบน้ำ และทางที่ดีที่สุด ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาวหน้าแห้งค่ะ

           นอกจากนี้ ในกล้วยยังมี โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม สังกะสี ไนอะซิน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อร่างกายอีกด้วย
           ดังนั้นการทานกล้วยยังช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว และมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนนุ่ม และกระชับขึ้นอีกด้วย ดังนั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากกล้วยมากที่สุด สาว ๆ ก็ทั้งพอกทั้งทานกล้วยให้ได้วันละลูกไปเลยค่ะ รับรองว่าผลไม้ไทยที่ราคาถูกอย่างกล้วย จะไม่ทำให้สาว ๆ ผิดหวังอย่างแน่นอน

สุนัข..น่ารักชิมิ

พูเดิ้ล
ช่างประจบประแจง ขี้อิจฉา สอนง่าย

 

 
 
ลักษณะทั่วไป
      พูเดิ้ลที่มีสายพันธุ์ดีจะเป็นสุนัขที่ฉลาดและตอบสนองไวที่สุดในบรรดาสุนัข ทั้งหมด พูเดิ้ลมีด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาดมาตรฐาน ขนาดเล็ก และขนาดทอย(ตุ๊กตา) พูเดิ้ลทุกขนาดจะเป็นสุนัขที่น่าหยิกน่าหมั่นไส้ แสนประจบ ซน และขี้เล่น พูเดิ้ลพันธุ์เล็กกับพันธุ์ทอยมีอุปนิสัยที่ไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้า และมีความอดทนกับเด็กน้อยกว่าพันธุ์สมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม พูเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งคุณก็ควรฝึกสอนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วคุณจะเห็นว่ามันมีความสามารถในการทำตามคำสั่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้อเสียของมันก็คือมันมีนิสัยชอบเห่า แต่คงเพราะตัวเล็กไปหน่อยจึงได้แต่เห่าอย่างเดียว ทำอะไรใครไม่ได้ สุนัขพันธุ์นี้เหมาะที่จะเลี้ยงในคอนโด แต่ก็ควรให้ได้รับการออกกำลังกายพอสมควรด้วยแต่ถ้าใครคิดจะเลี้ยงเจ้าพุด เดิ้ลขนาดจิ๋ว (เล็กกว่าพันธุ์ทอย) ก็จงระวังให้ดี เพราะมันค่อนข้างขี้โรคและมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย
ความเป็นมา
      พูเดิล มีชีวิตอยู่หลายศตวรรษ และมีเอกสารอ้างอิงมากมายว่าพบในเยอรมัน อังกฤษ อิตาลีและฝรั่งเศสหลักฐานที่พบเป็นภาพสุนัขที่ถูกตัดขนให้ดูคล้ายสิงห์โต โดยส่วนท้ายของลำตัวจะไม่มีขนปกคลุม ยกเว้นบริเวณรอบขาและหางที่มีขนลักษณะพองฟูขณะที่ลำตัวส่วนหน้าเต็มไปด้วยขนที่หนา ยกเว้นบริเวณใบหน้าและขาหน้าซึ่งเป็นการยืนยันว่าในยุคนั้น พูเดิลถูกใช้เพื่อเกมกีฬาเก็บคาบ แต่ก่อนขน พูเดิล จะหนักมากเวลาตัว เปียกต้องคอยตัดออกบ้าง หางยังยาวเป็นพุ่ม มีริบบิ้นผูกไว้ที่ปลายหาง ในขณะปฏิบัติงานเพื่อแยกพูเดิลออกจาก นกหรือสัตว์อื่นๆ
ลักษณะนิสัย
     ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ขนาดใด ทุกคนจะรู้ถึงความเฉลียวฉลาดของ พูเดิ้ล เป็นอย่างดีพวกเขาดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยมิตรภาพและเป็นผู้คุ้มกันที่ยอดเยี่ยม
การดูแล
 

   พูเดิ้ล เหมือนกับสายพันธุ์อื่นที่มีขนสองชั้นเป็นปุย ดูคล้ายขนแกะ มีการผลัดขนเหมือนสุนัขพันธุ์อื่นๆ แต่จะจับตัวอยู่กับขนชั้นในซึ่งต้องคอยตัดแต่งขน พูเดิล สม่ำเสมอไม่เช่นนั้นขนจะจับตัวกันเป็นก้อน จนดูแลอยาก
    ถึงแม้ว่าเราต้องคอยดูแลเรื่องขนของ พูเดิล เป็นพิเศษ แต่จะเป็นผลดีต่อคนที่มีอาการแพ้ขนสัตว์ และป้องกันขนและกลิ่นของสุนัขไปติดพรม เฟอร์นิเจอร์ หรือเสื้อผ้าได้ด้วยอาหารที่ครบถ้วน คุณค่าสารอาหารและสมดุล รวมทั้งการออกกำลังกาย เป็นสิ่งจำเป็นกับสุนัขทุกตัว
    นอกจากนี้การฝึกฝนเขาให้เชื่อฟังคำสั่ง จะทำให้ง่ายต่อการดูแลเขา แต่อย่าลืมความรักซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แล้วคุณจะได้รางวัลกลับคืนเป็นความรัก ความภักดี และการปกป้องจาก พูเดิล ของคุณเท่าที่เขาจะทำได้
 


 
 
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
เหมาะกับผู้เลี้ยงเกือบจะทุกคน ทอย พูเดิ้ล พัฒนาเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนให้กับผู้ที่มีที่อยู่อาศัยขนาดเล็กหรือมีพื้นที่ไม่มากนัก
ข้อควรจำ
-
 

 
 
มาตรฐานสายพันธุ์
 
 
 
ขนาด
 Poodle มี 3 ขนาดและจัดอยู่ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ Standard Poodle มีขนาด ความสูงไม่ต่ำกว่า 15 นิ้ว Miniatrue Poodle มีความสูง 11-15 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดนี้ จัดอยู่ในกลุ่มของ Non-Sporting Toy Poodle มีขนาดความสูงไม่เกิน 11 นิ้ว จัดอยู่ในกลุ่ม Toy ส่วนขนาด Tea-Cup ซึ่งเล็กกว่า Toy Poodle เป็นเพียงขนาดไม่ได้จัดประกวด มีความสูงตั้งแต่ 8 นิ้วลงไป นับเป็น Pet-Quality ที่นิยมเลี้ยงกันเท่านั้นจะเข้าประกวดไม่ได้เลย ถือเป็น Poodle ที่ด้อยผิดมาตรฐานของสายพันธุ์ Poodle ทั่วๆ ไป  
ศีรษะ
 หัวกะโหลกมีลักษณะค่อนข้างกลม แก้มค่อนข้างแบนหากมองจาด้านบน ลักษณะจากส่วนหัวถึงปลายจมูกจะมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำ  
ฟัน
 ขาวแข็งแรง ขบแบบกรรไกร 
ปาก
 ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก สันปากตรงแข็งแรง ริมฝีปากตึงไม่ห้อยหย่อนยานหรือปากล่างหนาจนเกินไป 
ตา
 มีลักษณะเป็นรูปกลมค่อนข้างรี คล้ายผลอัลมอนด์ ตาสีเข้ม ขอบตาเข้ม ตามีแววร่าเริง ตื่นตัวเสมอ  
หู
 ห้อยแนบชิดส่วนหัว โคนหูจะอยู่ในระดับต่ำกว่าตาเล็กน้อย หูมีขนยาว ใบหูค่อนข้างกว้างและหนา 
จมูก
 มีมุมหักพอสมควรหรือลาดลง 
คอ
 มีขนาดค่อนข้างยาว ทำให้ Poodle ดูสง่างาม ขณะเชิดหัวขึ้นหนังคอตึง คอประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 
อก
 ลึก กว้างพบประมาณ 
ลำตัว
 มองจากด้านข้าง มีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงแข็งแรง  
เอว
 สั้น ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ  
ขาหน้า
 มองจากด้านหน้า ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้าทั้ง 2 ข้างขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างอยู่ในแนวเดียวกับหัวไหล่ ขาหน้ามีกระดูกและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กับขนาดของสุนัข ข้อเท้าหน้าแข็งแรง เท้ามีขนาดเล็ก รูปกลมรีไม่แบนเหมือนตีนเป็ด ฝ่าเท้าหนา เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า ไม่บิดซ้ายบิดขวา นิ้วติ่งตัดออก เล็บควรตัดสั้น 
ขาหลัง
 มองจากด้านหลัง ขาหลังตรง ขนานกัน ขาหลังท่อนบนมีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าสั้น ตั้งฉากกับพื้น ขาเท้าหลังทำมุมพอประมาณ และสัมพันธ์กับลำตัวส่วนหน้า เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าคือไม่บิดซ้ายบิดขวา 
หาง
 โคนหางอยู่ในระดับสูง หางตั้งตรงไม่ชี้เอนไปด้านหลังขณะเดิน หางนิยมตัดออก 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของหางทั้งหมด 
ขน
 Poodle มีขน 2 ชั้น ขนชั้นบนอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาว ขนชั้นนอกนี้มี 2 ชนิด คือ ชนิดหยิกและชนิดหยิกคลายเป็นเกลียวคลื่น Poodle นิยมตัดแต่งขนให้มีรูปทรงต่างๆ กันได้หลากหลายตามแฟชั่นในแต่ละสถานที่ แต่มีข้อบังคับแน่นอนในสนามประกวด ดังนี้ อายุน้อยกว่า 12 เดือน ตัดทรง Puppy Clip เมื่ออายุเกิน 12 เดือนไปแล้วต้องตัดทรง English หรือทรง Continental Clip 
สีขน
 มีขนสีเดียวตลอดทั้งตัว ขนอาจมีสีจางลงได้ Poodle ขาวอาจมีสีครีมอ่อนที่หูได้ แต่ไม่ใช่สีตัดกันจนเป็นสีน้ำตาล Poodle สีน้ำตาลช็อกโกแลต กาแฟ แอปปริคอท มักมีจมูก, ขอบตา, เล็บ, ริมฝีปาก สีน้ำตาลเข้มๆ หรือสีตับ ส่วน Poodle สีดำ เทาดำ เทาเงิน ครีม และขาวจะมีจมูก, เล็บ, ขอบตา, ริมฝีปากและไรจมูกเป็นสีดำ  
 



อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/breeds/view.php?id=25#ixzz1AJnLwcmo
ที่มา :
nononononno.com
ภาพประกอบ : puppydogweb.com
wikipedia.org

สุนัข..น่ารักชิมิ

พูเดิ้ล
ช่างประจบประแจง ขี้อิจฉา สอนง่าย

 

 
 
ลักษณะทั่วไป
      พูเดิ้ลที่มีสายพันธุ์ดีจะเป็นสุนัขที่ฉลาดและตอบสนองไวที่สุดในบรรดาสุนัข ทั้งหมด พูเดิ้ลมีด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาดมาตรฐาน ขนาดเล็ก และขนาดทอย(ตุ๊กตา) พูเดิ้ลทุกขนาดจะเป็นสุนัขที่น่าหยิกน่าหมั่นไส้ แสนประจบ ซน และขี้เล่น พูเดิ้ลพันธุ์เล็กกับพันธุ์ทอยมีอุปนิสัยที่ไม่ค่อยไว้ใจคนแปลกหน้า และมีความอดทนกับเด็กน้อยกว่าพันธุ์สมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม พูเดิ้ลเป็นสุนัขที่ฝึกง่าย สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ซึ่งคุณก็ควรฝึกสอนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วคุณจะเห็นว่ามันมีความสามารถในการทำตามคำสั่งที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้อเสียของมันก็คือมันมีนิสัยชอบเห่า แต่คงเพราะตัวเล็กไปหน่อยจึงได้แต่เห่าอย่างเดียว ทำอะไรใครไม่ได้ สุนัขพันธุ์นี้เหมาะที่จะเลี้ยงในคอนโด แต่ก็ควรให้ได้รับการออกกำลังกายพอสมควรด้วยแต่ถ้าใครคิดจะเลี้ยงเจ้าพุด เดิ้ลขนาดจิ๋ว (เล็กกว่าพันธุ์ทอย) ก็จงระวังให้ดี เพราะมันค่อนข้างขี้โรคและมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย
ความเป็นมา
      พูเดิล มีชีวิตอยู่หลายศตวรรษ และมีเอกสารอ้างอิงมากมายว่าพบในเยอรมัน อังกฤษ อิตาลีและฝรั่งเศสหลักฐานที่พบเป็นภาพสุนัขที่ถูกตัดขนให้ดูคล้ายสิงห์โต โดยส่วนท้ายของลำตัวจะไม่มีขนปกคลุม ยกเว้นบริเวณรอบขาและหางที่มีขนลักษณะพองฟูขณะที่ลำตัวส่วนหน้าเต็มไปด้วยขนที่หนา ยกเว้นบริเวณใบหน้าและขาหน้าซึ่งเป็นการยืนยันว่าในยุคนั้น พูเดิลถูกใช้เพื่อเกมกีฬาเก็บคาบ แต่ก่อนขน พูเดิล จะหนักมากเวลาตัว เปียกต้องคอยตัดออกบ้าง หางยังยาวเป็นพุ่ม มีริบบิ้นผูกไว้ที่ปลายหาง ในขณะปฏิบัติงานเพื่อแยกพูเดิลออกจาก นกหรือสัตว์อื่นๆ
ลักษณะนิสัย
     ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ขนาดใด ทุกคนจะรู้ถึงความเฉลียวฉลาดของ พูเดิ้ล เป็นอย่างดีพวกเขาดูมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยมิตรภาพและเป็นผู้คุ้มกันที่ยอดเยี่ยม
การดูแล
 

   พูเดิ้ล เหมือนกับสายพันธุ์อื่นที่มีขนสองชั้นเป็นปุย ดูคล้ายขนแกะ มีการผลัดขนเหมือนสุนัขพันธุ์อื่นๆ แต่จะจับตัวอยู่กับขนชั้นในซึ่งต้องคอยตัดแต่งขน พูเดิล สม่ำเสมอไม่เช่นนั้นขนจะจับตัวกันเป็นก้อน จนดูแลอยาก
    ถึงแม้ว่าเราต้องคอยดูแลเรื่องขนของ พูเดิล เป็นพิเศษ แต่จะเป็นผลดีต่อคนที่มีอาการแพ้ขนสัตว์ และป้องกันขนและกลิ่นของสุนัขไปติดพรม เฟอร์นิเจอร์ หรือเสื้อผ้าได้ด้วยอาหารที่ครบถ้วน คุณค่าสารอาหารและสมดุล รวมทั้งการออกกำลังกาย เป็นสิ่งจำเป็นกับสุนัขทุกตัว
    นอกจากนี้การฝึกฝนเขาให้เชื่อฟังคำสั่ง จะทำให้ง่ายต่อการดูแลเขา แต่อย่าลืมความรักซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แล้วคุณจะได้รางวัลกลับคืนเป็นความรัก ความภักดี และการปกป้องจาก พูเดิล ของคุณเท่าที่เขาจะทำได้
 


 
 
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
เหมาะกับผู้เลี้ยงเกือบจะทุกคน ทอย พูเดิ้ล พัฒนาเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนให้กับผู้ที่มีที่อยู่อาศัยขนาดเล็กหรือมีพื้นที่ไม่มากนัก
ข้อควรจำ
-
 

 
 
มาตรฐานสายพันธุ์
 
 
 
ขนาด
 Poodle มี 3 ขนาดและจัดอยู่ในกลุ่มต่างๆ ดังนี้ Standard Poodle มีขนาด ความสูงไม่ต่ำกว่า 15 นิ้ว Miniatrue Poodle มีความสูง 11-15 นิ้ว ทั้ง 2 ขนาดนี้ จัดอยู่ในกลุ่มของ Non-Sporting Toy Poodle มีขนาดความสูงไม่เกิน 11 นิ้ว จัดอยู่ในกลุ่ม Toy ส่วนขนาด Tea-Cup ซึ่งเล็กกว่า Toy Poodle เป็นเพียงขนาดไม่ได้จัดประกวด มีความสูงตั้งแต่ 8 นิ้วลงไป นับเป็น Pet-Quality ที่นิยมเลี้ยงกันเท่านั้นจะเข้าประกวดไม่ได้เลย ถือเป็น Poodle ที่ด้อยผิดมาตรฐานของสายพันธุ์ Poodle ทั่วๆ ไป  
ศีรษะ
 หัวกะโหลกมีลักษณะค่อนข้างกลม แก้มค่อนข้างแบนหากมองจาด้านบน ลักษณะจากส่วนหัวถึงปลายจมูกจะมีลักษณะคล้ายรูปหยดน้ำ  
ฟัน
 ขาวแข็งแรง ขบแบบกรรไกร 
ปาก
 ความยาวของปากมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของหัวกะโหลก สันปากตรงแข็งแรง ริมฝีปากตึงไม่ห้อยหย่อนยานหรือปากล่างหนาจนเกินไป 
ตา
 มีลักษณะเป็นรูปกลมค่อนข้างรี คล้ายผลอัลมอนด์ ตาสีเข้ม ขอบตาเข้ม ตามีแววร่าเริง ตื่นตัวเสมอ  
หู
 ห้อยแนบชิดส่วนหัว โคนหูจะอยู่ในระดับต่ำกว่าตาเล็กน้อย หูมีขนยาว ใบหูค่อนข้างกว้างและหนา 
จมูก
 มีมุมหักพอสมควรหรือลาดลง 
คอ
 มีขนาดค่อนข้างยาว ทำให้ Poodle ดูสง่างาม ขณะเชิดหัวขึ้นหนังคอตึง คอประกอบด้วยกล้ามเนื้อ 
อก
 ลึก กว้างพบประมาณ 
ลำตัว
 มองจากด้านข้าง มีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความสูงของลำตัวมีขนาดใกล้เคียงกับความยาวของลำตัว เส้นหลังตรงแข็งแรง  
เอว
 สั้น ประกอบด้วยกล้ามเนื้อ  
ขาหน้า
 มองจากด้านหน้า ขาหน้าตั้งตรง ขาหน้าทั้ง 2 ข้างขนานกัน ห่างกันพอเหมาะ มองจากด้านข้างอยู่ในแนวเดียวกับหัวไหล่ ขาหน้ามีกระดูกและกล้ามเนื้อสัมพันธ์กับขนาดของสุนัข ข้อเท้าหน้าแข็งแรง เท้ามีขนาดเล็ก รูปกลมรีไม่แบนเหมือนตีนเป็ด ฝ่าเท้าหนา เท้าชี้ตรงไปด้านหน้า ไม่บิดซ้ายบิดขวา นิ้วติ่งตัดออก เล็บควรตัดสั้น 
ขาหลัง
 มองจากด้านหลัง ขาหลังตรง ขนานกัน ขาหลังท่อนบนมีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าสั้น ตั้งฉากกับพื้น ขาเท้าหลังทำมุมพอประมาณ และสัมพันธ์กับลำตัวส่วนหน้า เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าคือไม่บิดซ้ายบิดขวา 
หาง
 โคนหางอยู่ในระดับสูง หางตั้งตรงไม่ชี้เอนไปด้านหลังขณะเดิน หางนิยมตัดออก 1 ใน 3 ส่วนของความยาวของหางทั้งหมด 
ขน
 Poodle มีขน 2 ชั้น ขนชั้นบนอ่อนนุ่ม ขนชั้นนอกยาว ขนชั้นนอกนี้มี 2 ชนิด คือ ชนิดหยิกและชนิดหยิกคลายเป็นเกลียวคลื่น Poodle นิยมตัดแต่งขนให้มีรูปทรงต่างๆ กันได้หลากหลายตามแฟชั่นในแต่ละสถานที่ แต่มีข้อบังคับแน่นอนในสนามประกวด ดังนี้ อายุน้อยกว่า 12 เดือน ตัดทรง Puppy Clip เมื่ออายุเกิน 12 เดือนไปแล้วต้องตัดทรง English หรือทรง Continental Clip 
สีขน
 มีขนสีเดียวตลอดทั้งตัว ขนอาจมีสีจางลงได้ Poodle ขาวอาจมีสีครีมอ่อนที่หูได้ แต่ไม่ใช่สีตัดกันจนเป็นสีน้ำตาล Poodle สีน้ำตาลช็อกโกแลต กาแฟ แอปปริคอท มักมีจมูก, ขอบตา, เล็บ, ริมฝีปาก สีน้ำตาลเข้มๆ หรือสีตับ ส่วน Poodle สีดำ เทาดำ เทาเงิน ครีม และขาวจะมีจมูก, เล็บ, ขอบตา, ริมฝีปากและไรจมูกเป็นสีดำ  
 



อ่านต่อ : http://www.dogilike.com/breeds/view.php?id=25#ixzz1AJnLwcmo

วันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554

ระบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์ (Constructed Wetland)

ระบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์ (Constructed Wetland)บึงประดิษฐ์ มี 2 ประเภทได้แก่ แบบ Free Water Surface Wetland (FWS) ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับบึงธรรมชาติ และแบบ Vegetated Submerged Bed System (VSB) ซึ่งจะมีชั้นดินปนทรายสำหรับปลูกพืชน้ำและชั้นหินรองก้นบ่อเพื่อเป็นตัวกรองน้ำเสีย
หลักการทำงานของระบบ เมื่อน้ำเสียไหลเข้ามาในบึงประดิษฐ์ส่วนต้น สารอินทรีย์ส่วนหนึ่งจะตกตะกอนจมตัวลงสู่ก้นบึง และถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ส่วนสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำจะถูกกำจัดโดยจุลินทรีย์ที่เกาะติดอยู่กับพืชน้ำหรือชั้นหินและจุลินทรีย์ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ ระบบนี้จะได้รับออกซิเจนจากการแทรกซึมของอากาศผ่านผิวน้ำหรือชั้นหินลงมา ออกซิเจนบางส่วนจะได้จากการสังเคราะห์แสงแต่มีปริมาณไม่มากนัก สำหรับสารแขวนลอยจะถูกกรองและจมตัวอยู่ในช่วงต้น ๆ ของระบบ การลดปริมาณไนโตรเจนจะเป็นไปตามกระบวนการไนตริฟิเคชั่น (Nitrification) และดิไนตริฟิเคชั่น (Denitrification) ส่วนการลดปริมาณฟอสฟอรัสส่วนใหญ่จะเกิดที่ชั้นดินส่วนพื้นบ่อ และพืชน้ำจะช่วยดูดซับฟอสฟอรัสผ่านทางรากและนำไปใช้ในการสร้างเซลล์ นอกจากนี้ระบบบึงประดิษฐ์ยังสามารถกำจัดโลหะหนัก (Heavy Metal) ได้บางส่วนอีกด้วย
1.ระบบบึงประดิษฐ์แบบ Free Water Surface Wetland (FWS) เป็นแบบที่นิยมใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งหลังจากผ่านการบำบัดจากบ่อปรับเสถียร (Stabilization Pond) แล้ว ลักษณะของระบบแบบนี้จะเป็นบ่อดินที่มีการบดอัดดินให้แน่นหรือปูพื้นด้วยแผ่น HDPE ให้ได้ระดับเพื่อให้น้ำเสียไหลตามแนวนอนขนานกับพื้นดิน บ่อดินจะมีความลึกแตกต่างกันเพื่อให้เกิดกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์โครงสร้างของระบบแบ่งเป็น 3 ส่วน (อาจเป็นบ่อเดียวกันหรือหลายบ่อขึ้นกับการออกแบบ) คือ

ภาพประกอบจาก www.pcd.go.th
 

ส่วนแรก เป็นส่วนที่มีการปลูกพืชที่มีลักษณะสูงโผล่พ้นน้ำและรากเกาะดินปลูกไว้ เช่น กก แฝก ธูปฤาษี เพื่อช่วยในการกรองและตกตะกอนของสารแขวนลอยและสารอินทรีย์ที่ตกตะกอนได้ ทำให้กำจัดสารแขวนลอยและสารอินทรีย์ได้บางส่วน เป็นการลดสารแขวนลอยและค่าบีโอดีได้ส่วนหนึ่ง
ส่วนที่สอง เป็นส่วนที่มีพืชชนิดลอยอยู่บนผิวน้ำ เช่น จอก แหน บัว รวมทั้งพืชขนาดเล็กที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ เช่น สาหร่าย จอก แหน เป็นต้น พื้นที่ส่วนที่สองนี้จะไม่มีการปลูกพืชที่มีลัษณะสูงโผล่พ้นน้ำเหมือนในส่วนแรกและส่วนที่สาม น้ำในส่วนนี้จึงมีการสัมผัสอากาศและแสงแดดทำให้มีการเจริญเติบโตของสาหร่ายซึ่งเป็นการเพิ่มออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ทำให้จุลินทรีย์ชนิดที่ใช้ออกซิเจนย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำได้เป็นการลดค่าบีโอดีในน้ำเสีย และยังเกิดสภาพไนตริฟิเคชั่น (Nitrification) ด้วย
ส่วนที่สาม มีการปลูกพืชในลักษณะเดียวกับส่วนแรก เพื่อช่วยกรองสารแขวนลอยที่ยังเหลืออยู่ และทำให้เกิดสภาพดิไนตริฟิเคชั่น (Denitrification) เนื่องจากออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ลดลง ซึ่งสามารถลดสารอาหารจำพวกสารประกอบไนโตรเจนได้

ภาพประกอบจาก www.pcd.go.th
 
2. ระบบบึงประดิษฐ์แบบ Vegetated Submerged Bed System (VSB)ระบบบึงประดิษฐ์แบบนี้จะมีข้อดีกว่าแบบ Free Water Surface Wetland คือ เป็นระบบที่แยกน้ำเสียไม่ให้ถูกรบกวนจากแมลงหรือสัตว์ และป้องกันไม่ให้จุลินทรีย์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรคมาปนเปื้อนกับคนได้ ในบางประเทศใช้ระบบบึงประดิษฐ์แบบนี้ในการบำบัดน้ำเสียจากบ่อเกรอะ (Septic Tank) และปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งจากระบบบ่อปรับเสถียร (Stabilization Pond) หรือใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำทิ้งจากระบบแอกติเวเต็ดจ์สลัดจ์ (Activated Sludge) และระบบอาร์บีซี (RBC) หรือใช้ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำที่ระบายออกจากอาคารดักน้ำเสีย (CSO) เป็นต้น
ส่วนประกอบที่สำคัญในการบำบัดน้ำเสียของระบบบึงประดิษฐ์แบบนี้ คือ
-พืชที่ปลูกในระบบ จะมีหน้าที่สนับสนุนให้เกิดการถ่ายเทก๊าซออกซิเจนจากอากาศเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่น้ำเสีย และยังทำหน้าที่สนับสนุนให้ก๊าซที่เกิดขึ้นในระบบ เช่น ก๊าซมีเทน (Methane) จากการย่อยสลายแบบแอนแอโรบิค (Anaerobic) สามารถระบายออกจากระบบได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถกำจัดไนโตรเจนและฟอสฟอรัสได้โดยการนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของพืช
-ตัวกลาง (Media)จะมีหน้าที่สำคัญคือ
(1) เป็นที่สำหรับให้รากของพืชที่ปลูกในระบบยึดเกาะ
(2) ช่วยให้เกิดการกระจายของน้ำเสียที่เข้าระบบและช่วยรวบรวมน้ำทิ้งก่อนระบายออก
(3) เป็นที่สำหรับให้จุลินทรีย์ยึดเกาะ และ
(4) สำหรับใช้กรองสารแขวนลอยต่าง ๆ

ภาพประกอบจาก www.pcd.go.th
ตัวอย่างแปลงปลูกพืช



ที่มา :http://www.stou.ac.th/Offices/rdec/Lampang/upload/artical02-01.htm
                 http://www.sri.cmu.ac.th/~srilocal/water/page_04d.htm